เมนู

10. ลิตตวรรค


1. ลิตตชาดก


ว่าด้วยลูกสกาอาบยาพิษ


[91] บุรุษกลืนลูกสกาอันเคลือบด้วยยาพิษ
อย่างแรงยังไม่รู้ตัว ดูก่อนเจ้าคนร้าย เจ้านักเลง
ชั่ว จงกลืนเถิด จงกลืนกินเข้าไปเถิด ภายหลัง
ผลร้ายจักมีแก่เจ้า.

จบ ลิตตชาดก ที่ 1

อรรถกถาลิตตวรรคที่ 10


อรรถกถาลิตตชาดกที่ 1


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภการบริโภคปัจจัยที่มิได้พิจารณา ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ลิตฺตํ ปรเมน เตชสา ดังนี้.
ได้ยินมาว่า ในกาลนั้น พวกภิกษุได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น
โดยมากไม่ได้พิจารณา แล้วบริโภค ภิกษุเหล่านั้นผู้ไม่ได้
พิจารณาปัจจัย 4 แล้วบริโภค โดยมากจะไม่พ้นจากนรกและ
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน. พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น ตรัส
ธรรมกถาแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยปริยายเป็นอันมาก ตรัสถึงโทษ

ในการไม่พิจารณาปัจจัยแล้วใช้สอย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมดาภิกษุได้รับปัจจัย 4 แล้ว ไม่พิจารณาบริโภคไม่ควรเลย
เพราะฉะนั้น จำเดิมแต่นี้ พวกเธอต้องพิจารณาแล้วจึงค่อยบริโภค
เมื่อทรงแสดงวิธีพิจารณา ทรงวางแบบแผนไว้ โดยนัยมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณา โดยแยบคาย
แล้ว จึงใช้สอยจีวร ฯลฯ เพื่อต้องการปกปิดอวัยวะที่น่าละอาย
แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาปัจจัย 4 อย่างนี้
แล้วบริโภค ย่อมสมควร ขึ้นชื่อว่าการไม่พิจารณาแล้วบริโภค
เป็นเช่นกับบริโภคยาพิษที่ร้ายแรงยิ่งใหญ่ ด้วยว่าคนในครั้งก่อน
ไม่พิจารณา ไม่รู้โทษ บริโภคยาพิษ ผลที่สุดต้องเสวยทุกข์
ใหญ่หลวง ดังนี้แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ตระกูล
หนึ่ง เจริญวัยแล้วเป็นนักเลงสกา ครั้นเวลาต่อมามีนักเลงสกา-
โกงอีกคนหนึ่ง เล่นกับพระโพธิสัตว์ เมื่อตนเป็นฝ่ายชนะก็ไม่
ทำลายสนามเล่น แต่ในเวลาแพ้ ก็เอาลูกสกาใส่เสียในปาก
กล่าวว่า ลูกสกาหายเสียแล้ว พาลเลิกหลีกไป. พระโพธิสัตว์
ทราบเหตุของเขา คิดว่า ช่างเถิด เราจักหาอุบายแก้เผ็ดในเรื่องนี้
ดังนี้แล้ว รวบเอาลูกสกาไป ย้อมด้วยยาพิษอย่างแรงในเรือน
ของตน แล้วตากให้แห้ง บ่อย ๆ ครั้ง แล้วนำเอาลูกสกาเหล่านั้น
ไปสู่สำนักของเขา กล่าวว่า มาเถิดเพื่อน เราเล่นสกากันเถิด.

เขารับคำว่า ดีละเพื่อน จัดแจงสนามเล่น เล่นกับพระโพธิสัตว์
เรื่อยไป พอเวลาตนแพ้ ก็เอาลูกสกาลูกหนึ่งใส่ปากเสีย ครั้น
พระโพธิสัตว์เห็นเขาทำอย่างนั้น เพื่อจะท้วงว่า กลืนเข้าไปเถิด
ภายหลังเจ้าจักรู้ว่า นี้มันชื่อนี้ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
"บุรุษกลืนลูกสกาอันเคลือบด้วยยาพิษ
อย่างแรง ยังไม่รู้ตัว ดูก่อนเจ้าคนร้าย เจ้านักเลง
ชั่ว จงกลืนเถิด จงกลืนกินเข้าไปเถิด ภายหลัง
ผลร้ายจักมีแก่เจ้า" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลิตฺตํ ความว่า ลูกสกาที่เคลือบ
ไว้แล้ว ย้อมไว้แล้ว.
บทว่า ปรเมน เตชสา ความว่า ด้วยยาพิษอันร้ายแรง
สมบูรณ์ด้วยฤทธิ์เดชอันสูง.
บทว่า คิลํ แปลว่า กลืน.
บทว่า อกฺขํ แปลว่า ลูกสกา.
บทว่า น พุชฺฌติ ความว่า ไม่รู้ตัวว่าเมื่อเรากลืนลูกสกา
นี้อยู่ ชื่อว่าต้องกระทำกรรมนี้.
บทว่า คิล เร ความว่า กลืนเถิดเจ้าคนร้าย.
พระโพธิสัตว์กล่าวย้ำซ้ำเตือนอีกว่า คิล จงกลืน.
บทว่า ปุจฺฉา เต กฏุกํ ภวิสฺสติ ความว่า เมื่อเจ้ากลืน
ลูกสกานี้ไปแล้ว ภายหลังพิษอันร้ายแรงจักมี.

ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์กำลังพูดอยู่นั่นแหละ เขาสลบไป
แล้วด้วยกำลังของยาพิษ นัยน์ตากลับ คอตก ล้มฟาดลง พระ-
โพธิสัตว์คิดว่า ควรจะให้ชีวิตเป็นทานแม้แก่เขา จึงให้ยาสำรอก
ที่ปรุงด้วยโอสถจนสำรอกออกมา และให้กินเนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้ง
และน้ำตาลกรวด เป็นต้น ทำให้หายโรค แล้วสั่งสอนว่า อย่าได้
กระทำกรรมเห็นปานนี้อีก ดังนี้แล้วกระทำบุญมีทานเป็นต้น
ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการไม่พิจารณาแล้วบริโภค ย่อม
เป็นเช่นกับการบริโภคยาพิษ อันตนเคยกระทำไว้ แล้วทรง
ประชุมชาดกว่า นักเลงผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้มาเป็นเรา
ตถาคต ส่วนนักเลงโกง จะไม่กล่าวถึงในเรื่องนี้ เหมือนอย่าง
ผู้ใดไม่ปรากฏในกาลนี้ ผู้นั้นก็ไม่กล่าวถึงในเรื่องทั้งปวง ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาลิตตชาดกที่ 1

2. มหาสารชาดก


ว่าด้วยลักษณะของผู้ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์


[92] "ยามคับขันย่อมปรารถนาผู้กล้าหาญ
ยามปรึกษาการงาน ย่อมปรารถนาคนไม่พูด-
พล่าม ยามมีข้าวน้ำย่อมปรารถนาคนอันเป็นที่รัก
แห่งตน ยามต้องการเหตุผล ย่อมปรารถนา
บัณฑิต"

จบ มหาสารชาดกที่ 2

อรรถกถามหาสารชาดกที่ 2


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระอานันทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อุกกฏฺเฐ สูรมิจฺฉนฺติ ดังนี้.
สมัยหนึ่ง เหล่าพระสนมของพระเจ้าโกศลคิดกันว่า ขึ้น
ชื่อว่า การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า เป็นสภาพหาได้ยาก
การกลับได้เกิดเป็นมนุษย์ และความเป็นผู้มีอายตนะบริบูรณ์เล่า
ก็หาได้ยากเหมือนกัน อนึ่งพวกเราแม้จะได้พบความพร้อมมูล
แห่งขณะซึ่งหาได้ยากนี้ ก็ไม่ได้เพื่อจะไปสู่พระวิหาร ฟังธรรม
หรือกระทำการบูชา หรือให้ทานตามความพอใจของตนได้ ต้อง